ยินดีต้อนรับสู่บล็อกของฉัน

วันพุธที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2555

กำเนิดนวนิยายไทย

                    กำเนิดของเรื่องสั้น และนวนิยายสมัยใหม่ในประเทศไทยเกิดพร้อมๆ กับการรับอิทธิพลด้านวัฒนธรรมอื่น จากชาติตะวันตก ในปี พศ. 2378 คณะมิชชันนารีอเมริกันได้นำเทคนิควิทยาการการพิมพ์เข้ามาใน ประเทศไทย หนังสือพิมพ์ฉบับแรกของไทยเกิดเมื่อ ปี พศ. 2400 ชื่อ "ราชกิจจานุเบกษา" และทำให้เกิด หนังสือพิมพ์ตามมากอีกหลายฉบับ
                  สำหรับการแต่งนวนิยายเป็นเรื่องแรกนั้น ผู้รู้หลายท่านมักจะกล่าวว่าเรื่อง "สนุกนิ์นึก" ซึ่งแต่งโดยกรมหลวง พิชิตปรีชาการ ซึ่งตีพิมพ์หนังสือวชิรญาณวิเสศ (แผ่น 28 วันที่ 6 เดือน 8 ปีจอ อัฐศก 1248) เป็นเรื่องแต่ง ที่มีแนวโน้มจะเป็นวนิยายเรื่องแรกของไทยที่แต่งเลียนแบบนวนิยายตะวันตก อย่างไรก็ตามเรื่องนี้ก็แต่ง ได้เพียงตอนเดียวก็ถูกระงับ เนื่องจากถูกกล่าวหาว่ามีเนื้อหากระทบกระเทียบต่อศาสนาในสมัยนั้น นวนิยายเต็มเรื่อง เรื่องแรกของไทยเป็นนวนิยายแปลเรื่อง "ความพยาบาท" ที่ แม่วัน แปลมาจากหนังสือชื่อ vandetta ของmarie corelli ซึ่งตีพิมพ์เป็นตอน ในหนังสือลักวิทยา ในช่วงปี พศ. 2445 และหลังจากนั้น ก็สร้างแรงจูงใจให้ "ครูเหลี่ยม" เขียนนวนิยายไทยที่เป็นเนื่องเรื่องแบบไทยแท้ล้อเลียนเรื่องแปลของแม่วัน โดยใช้ชื่อว่า "ความไม่พยาบาท" ในปี พศ. 2458
           งานเขียนเรื่องสั้นและนวนิยายมีวิวัฒนาการเรื่อยมา จนกระทั่งช่วง พศ. 2471-2472 ซึ่งถือเป็นช่วงเวลา ที่สำคัญอีกช่วงหนึ่งของประวัติวรรณคดีไทย เนื่องจากเป็นช่วงเวลาที่เกิดนักเขียนซึ่งทำให้เกิดเป็นแรงบันดาลใจ ให้มีการเขียนเรื่องสั้นและนวนิยายในยุคต่อมา คือ ในปี .. 2471 กุหลาบ สายประดิษฐ์ หรือ ศรีบูรพา แต่ง "ลูกผู้ชาย" ซึ่งได้รับความนิยมมาก พศ. 2472 ดอกไม้สด แต่ง "ศตรูของเจ้าหล่อน" และ หม่อมเจ้าอากาศ ดำเกิงรพีพัฒน์ แต่ง "ละครแห่งชีวิต"
                 นักเขียนทั้งสามท่านเขียนเรื่องราวออกมาจากโดยใช้พลอต หรือแนวเรื่องแตกต่างจากนวนิยายต่างประเทศ ในสมัยนั้น ทำให้นักเขียทั้งสามท่านได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้ริเริ่มให้เกิดการเขียนซึ่งวางโครงเรื่องเป็นแบบ ไทย และเป็นต้นแบบการเขียนนวนิยายมาจนถึงปัจจุบัน
ถึงแม้เรื่องสั้น และนวนิยายถูกนับว่าเป็นบันเทิงคดี คือเรื่องที่แต่งขึ้นมาจากจินตนากรของผู้เขียนเป็นส่วนใหญ่ แต่นวนิยายก็มีประโยน์และมีคุณค่าในตัวของมันเอง เรื่องสั้นและนวนิยายสามารถบอกเรื่องราว และความนึกคิด ของคนในสมัยต่าง ได้ เช่น เรื่องสี่แผ่นดิน ของ มรว. คึกฤทธิ์ ปราโมช ที่สะท้อนเรื่องราวของชีวิตไทยในอดีต เรื่องราวของสงครามโลกครั้งที่สองใน คู่กรรม เป็นต้น
              เรื่องสั้นและนวนิยายไทยมีการปรับปรุง เปลี่ยนแปลงเนื้อหาไปตามกาลเวลา ปัจจุบันการศึกษาของประชาชนใน ประเทศไทยโดยเฉลี่ยสูงขึ้น ทำให้ความต้องการบริโภคอาหารสมอง และเรื่องราวบันเทิงคดีต่าง มากขึ้นตามไปด้วย วิวัฒนาการของนวนิยายไทย จึงน่าจะมีพัฒนาการต่อไปอีกนาน และนกจากให้ความบันเทิงแล้ว นวนิยายังสามารถ บอกเล่าเรื่องราวชีวิต และประวัติศาสตร์ชาติไทยให้คนรุ่นต่อไปได้นำมาศึกษาอีกทางหนึ่ง
 เปรียบเทียบข้อแตกต่างระหว่างนวนิยายกับเรื่องสั้น

นวนิยาย
เรื่องสั้น
1. มีโครงเรื่องแสดงวัตถุประสงค์หลายอย่าง

1. มีโครเรื่องแสดงวัตถุประสงค์และผลอย่างเดียว
2. มีขนาดยาวกว่าเรื่องสั้น
2. มีขนาดสั้นสมลักษณะ
3. มีตัวละครมาก
3. มีตัวละครน้อย
4. มีเวลาสืบเนื่องกันนานมากเท่าไหร่ก็ได้ไม่จำกัด
4. มีระยะเวลาในท้องเรื่องน้อย ถ้าเวลามากจะต้องไม่สือบเนื่อง
5. จะพรรณนาให้ยืดยาวก็ได้ ตามความยาวและความเหมาะสม
5. ต้องเขียนโดยประหยัดถ้อยคำไม่ควรพรรณนาฟุ่มเฟือย

คำอธิบาย: http://www.dek-d.com/contentimg/nut/nut%5b1%5d.gif
ขอขอบคุณข้อมูลจากเวบเด็กดี
-เถกิง พันธ์เถกิงอมร "นวนิยายและเรื่องสั้น การศึกษาเชิงวิเคราะห์" คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ สถาบันราชภัฎ
-สงขลา2541
หนังสือ "กำเนิดนวนิยายในประเทศไทย" โดย วิภา กงกะนันท์
    -ปากกาทอง

เรื่องสั้น เจ้าลอย


เจ้าลอย


รวมเรื่องสั้น หลายชีวิต

ผู้แต่ง   ... คึกฤทธิ์ ปราโมช



            เมื่อใครถามลอยว่า มันเกิดที่ไหน มันก็ตอบว่ามันเกิดที่เมืองสุพรรณ แต่ความจริงนั้นเจ้าลอยมันเกิดที่ไหนไม่มีใครทราบ  แต่ชื่อของมันก็บอกที่ประวัติที่มาของตัวมันเองอยู่แล้ว  

            วันหนึ่งเมื่อประมาณ 30 ปีก่อน เวลาเช้าแต่ยังไม่สว่าง ยายพริ้มบ้านแกอยู่ริมคลองได้ลุกขึ้นตั้งหม้อหุงข้าวตามปกติวิสัยของชาวบ้าน  และขนาดนั้นเองแกได้ยินเสียงเด็กร้อง แกรู้สึกงงเป็นอย่างมาก เพราะบ้านแกห่างจากชาวบ้านในระแวกนั้นไกลพอสมควร และแกอยู่ด้วยกันสองคนกับเจ้าเถิกหลานชายอายุ 9 ขวบของแก  แกฟังเสียงร้องอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ จากนั้นแกหยิบตะเกียงไปยังที่ท่าน้ำ ยายพริ้มแลเห็นหม้อใบหนึ่งลอยมาติดอยู่ที่บันไดท่าน้ำ  ในหม้อนั้นมีเด็กผู้ชายอายุเกิดใหม่ไม่ถึง 10 วัน ร้องไห้หมือนกับว่าร้องขอความช่วยเหลือ ยายพริ้มรีบอุ้มเด็กน้อยนั้นมาซบอกทันที  ยายพริ้มให้ความรักความเมตตาแก่เด็กน้อยที่ลอยมาติดที่บันได โดยไม่รู้ว่าได้เอางูเห่าที่มีพิษร้ายมาเลี้ยงไว้ เมื่อมันได้รับความอบอุ่นจนฟื้นชีวิตขึ้นมาก็จะกัดร่างที่ให้ความอบอุ่นแก่มัน  แต่ถึงอย่างไรยายพริ้มก็จะเลี้ยงเจ้าลอยต่อไป เพราะความรักของคนเรานั้นก็อาจจะทำร้ายตัวเองได้

            ยายพริ้มขายผักและผลไม้และของจุกจิกอีกหลายอย่าง วันหนึ่งๆยายพริ้มก็จะพายเรือออกจากบ้านแต่เช้าเพื่อขายของ เมื่อเจ้าลอยยังเป็นเด็กหัดเดิน ยายพริ้มก็ให้เจ้าเถิกหลายชายดูแลมันที่บ้าน แต่พอเจ้าลอยอายุได้ 8 ขวบ ก็เอาไปขายของด้วยทุกวัน ระหว่างนั้นยายพริ้มก็ทำมาค้าขึ้นทุกวันจนมีฐานะดี ยายพริ้มไม่เคยปิดบังประวัติเจ้าลอย กลับเล่าให้ทุกคนฟังรวมทั้งเจ้าลอยเอง  อาจเป็นเหตุนี้ที่เจ้าลอยจึงไม่รู้สึกผูกพันต่อใครจริงใจตั้งแต่เด็ก

            วันหนึ่งเจ้าลอยได้ร่วมเกี่ยวข้าวกับชาวบ้านในระแวกนั้น  แต่เจ้าลอยก็แอบไปหลับตามประสาเด็กใต้ต้นไม้ใหญ่ ขณะนั้นเองมันได้ยินเสียงคุยกัน ด้วยความอยากรู้อยากเห็น จึงได้แอบไปดู ภาพที่มันเห็นก็คือเจ้าเถิกกับหญิงสาวได้กระทำการอาณัติของธรรมชาติ ในสิ่งที่เจ้าลอยไม่เคยเห็นมาก่อน แต่นั้นมาเจ้าลอยก็ถามเจ้าเถิกอยู่บ่อยๆว่า ผู้หญิงและผู้ชายเกิดมาทำไม และเพื่ออะไร อาการและร่างกายของคนที่เป็นหนุ่มสาวแล้วเป็นอย่างไร เจ้าเถิกก็มิได้ปิดบังบอกให้รู้และแสดงให้ดูจนสิ้น แต่มีอย่างหนึ่งที่มันไม่ได้บอกคือ ความรักของหญิงกับชายนั้น เป็นความรักที่เสียสละและเห็นอกเห็นใจต่อกัน

            พอเจ้าลอยแตกเนื้อหนุ่ม ก็เลิกลงเรือช่วยยายขายของไปเที่ยวตลาดอยู่ทุกวัน จนเป็นที่รู้จักของคนระแวกนั้น และคนที่คุ้นเคยกับเจ้าลอยตั้งแต่เด็กคือ เจ๊ทองคำ เจ้าลอยก็ฝากเนื้อฝากตัวกับเจ๊ทองคำทุกครั้งทีเจ้าลอยมาเที่ยวตลาด มันก็นั่งที่ร้านเป็นเวลานานๆ จนเพื่อนฝูงรุ่นเดียวกันพากันล้อเลียนว่าไปติดนางสวน ซึ่งเป็นลูกสาวของเจ๊ทองคำ

            วันหนึ่งตอนกลางวันฝนตกหนักที่ตลาดเงียบลอยนั่งหน้าร้านเช่นเคย แต่วันนั้นนางสวนไม่อยู่เจ๊บอกให้ลอยนั่งเฝ้าร้าน เจ๊จะไปนอน เพราะเจ๊ปวดหลัง เจ้าลอยก็อาสาช่วยนวดให้ เจ้าลอยก็นวดอย่างเบาๆ พอผ่านไปครู่หนึ่ง มันเริ่มกำขา กำเนื้อที่อยู่ตรงหน้ามันแรงขึ้น และได้ทำในสิ่งที่ไม่ควรทำขึ้น เจ้าลอยทำอย่างนี้เป็นเวลาเกือบ 2 ปี และวันหนึ่งมันก็มาที่ร้านเจ๊เป็นปกติ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือเจ๊ทองคำได้ตายแล้ว เนื่องจากนางได้กินยาทำแท้งเป็นเวลานานจึงทำให้เสียเลือดมาก และเห็นนางสวนนั่งอยู่ข้างๆ มันรีบวิ่งไปปิดประตูร้านแล้วมาที่ตัวนางสวน แล้วข่มขืนนางสวน แล้วมันก็กลับบ้านไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น  รุ่งเช้าชาวบ้านแปลกใจที่เจ๊ทองคำไม่เปิดร้านจึงได้พังประตูเข้าไป และได้เห็นภาพที่น่าอนาถ คือนางสวนผูกคอตายและเจ๊ทองคำนอนตายอยู่ในห้อง ชาวบ้านที่มามุงดู มีเจ้าลอยรวมอยู่ด้วย

            เมื่ออายุครบเกณฑ์ มันได้หายหน้าไปเป็นทหารเกือบ 2 ปี พอกลับมา มันก็ได้สมัครเป็นลูกน้องของเสือเปรื่อง  ซึ่งขนาดนั้นกำลังรวบรวมกำลังคนเพื่อออกปล้น  และบ้านหนึ่งในนั้นที่มันออกปล้นคือ บ้านของผู้ที่ให้การเลี้ยงดูและให้ความรู้แก่มันคือยายพริ้มและเจ้าเถิก

            วันหนึ่งเสือเปรื่องเข้าปล้นบ้านกำนัน ในขณะที่ปล้นเสร็จและพวกโจรกำลังถอนกำลัง เจ้าลอยได้ยิงปืนใส่เสือเปรื่องซึ่งเป็นหัวหน้าที่กลางอก โดยไม่มีใครรู้ จากนั้นเสือเปรื่องก็ตาย  เจ้าลอยออกปล้นโดยใช้ชื่อเสือเปรื่อง แต่คราวนี้ปล้นถี่และหนักกว่าเดิม  แถมยังฆ่าเจ้าของทรัพย์อีก ซึ่งเมื่อก่อนเสือเปรื่องไม่เคยทำ

            ลอยนั่งครึ่งหลับครึ่งตื่นในเรือที่แล่นจากบ้านแพนมุ่งหน้าไปกรุงเทพฯมันเป็นเสืออย่างเต็มตัวแล้ว ไปกรุงเทพฯคราวนี้มันไปซื้ออาวุธปืนและอาวุธต่างๆที่ใช้ปล้นคราวต่อไป 

            เสียงพายุฝนกระหน่ำลงมา ช่วยกล่อมให้มันเคลิบเคลิ้ม มันไม่รู้ว่าฟ้าดินให้โอกาสมันมาแล้วครั้งหนึ่ง โดยบันดาลให้ยายพริ้มมาช่วยชีวิตมันมิให้ลอยตามน้ำไป  แต่มันได้ทำอย่างไรกับโอกาสและชีวิตที่มันได้มา  เรือยนต์ลำนั้นแล่นมาถึงคุ้งสำเภาจะเข้าหัวคุ้ง ' ชีวิตกูเป็นกำไร ' ลอยมันนึกในใจพอดีกับเรือคว่ำจมลง ชีวิตเจ้าลอยได้ไหลไปตามกระแสน้ำสายเดียวกับที่ไหลผ่านหน้าบ้านยายพริ้มเมื่อ 30 ปีมาแล้ว

ที่มาwww.kmutt.ac.th




เรื่องสั้น มอม


บทประพันธ์ของ มรว.คึกฤทธิ์ ปราโมช


ตั้งแต่มอมลืมตาขึ้นมองดูโลกในเบื้องแรก โลกนี้มีชายคนหนึ่งและแม่อีกหนึ่ง

มอมเป็นลูกโทนเกิดใต้ถุนบ้านไม้สองชั้นหลังเล็กๆ แถวมักกะสัน

มอมรู้ว่าพ่อของมันเป็นหมาพันธุ์อัลเซเซียนอยู่ตึกใหญ่อยู่ถนนเพชรบุรี

เจ้าของเลี้ยงถนอมหนักหนา แต่แม่ของมันเป็นหมาไทยตลาดประตูน้ำ

ที่มอมปฏิสนธิขึ้นมาได้เพราะอุบัติเหตุ

เจ้าของพ่อของมันเผลอปล่อยให้หลุดออกมาจากบ้านได้ชั่วครู่

ทั้งหมดนี้มอมไม่สนใจ มันรู้แต่ว่าภายในถุนบ้านนั้น

มีแม่อยู่สำหรับดูดนมเวลาหิว ซึ่งมันก็หิวบ่อยๆ

และเอาไว้นอนเบียดให้อุ่นได้เมื่อเวลามันหนาว

พอมอมจำความได้มันก็รู้ว่ามีคนมุด เข้าใต้ถุนบ้านนั้นบ่อยๆ อีกคนหนึ่ง

มันรู้สึกว่ามีคนนั้นมาอุ้มชูลูบคลำมันเล่นเสมอ

มอมมันคันเขี้ยวซึ่งกำลังจะขึ้น

มันก็กัดมือนั้นเล่นบ้างเสียเล่นบ้าง

บางที่เจ้าของมือนั้นก็ยกตัวมันขึ้นใกล้ๆ ติดกับหน้า

มอมมักกระดิกหางดีใจจนตัวสั่น เลียหน้า เลียปาก

คนๆ นั้นก็ไม่ว่า ปล่อยตามใจมัน

มอมมันจำกลิ่นไว้ได้ กำหนดสัญญาไว้ว่าคนๆนั้นเป็นนายของมัน แล้วมันก็รัก

พอมอมมันเริ่มเดินได้ก็คลานจากใต้ถุนออกสู่ลานบ้าน

โลกของมันกว้างขึ้นเล็กน้อยมันรู้ว่านายอยู่บ้านสองชั้นเล็กๆ

ค่อนข้างจะเก่าและไม่ได้ทำสี

นอกจากนายแล้วก็มีคนอื่นอยู่ด้วยอีกสองคน

คนหนึ่งนั้นเป็นผู้หญิง นายบอกมันว่าคนนี้คือนายผู้หญิง

อีกคนหนึ่งเป็นเด็กเล็กๆ เพิ่งสอนเดินนายเรียกว่าหนู

แต่มอมมันพอจะเดาออกว่าเป็นลูกของนาย

เพราะกลิ่นตัวเหมือนกัน พอมอมเริ่มคลานออกจากใต้ถุนที่เคยคลาน

แม่ก็เริ่มห่างไป แต่ก่อนพอมอมรู้สึกหิวนมทีไร

ต้องรู้สึกว่ามีแม่อยู่ใกล้ๆ คอยให้นมทุกครั้ง

แต่เดี่ยวนี้นานๆแม่จึงจะมาหาสักครั้งหนึ่ง

และน้ำนมแม่ก็รู้สึกว่าน้อยและจางไป

แต่มอมมันไม่เดือดร้อนเท่าไรนักระวังหาชามอ่างทะลุ

มาวางไว้ที่นอนชานหลังบ้านระหว่างครัวไฟกับตัวเรือนใบหนึ่ง

เอาข้าวคลุกกับที่นายกินเหลือ ใส่ให้มันกินวันละสามเวลาทุกวัน

เวลาเช้าเวลาเย็นนายให้เอง ส่วนตอนกลางวันนายผู้หญิงเป็นคนให้

มอมมันโตเร็วผิดปกติกว่าหมาธรรมดา เพราะมันเป็นพันธุ์พ่อมากกว่าพันธุ์แม่

ยิ่งโตมันก็ยิ่งกินจุทุกวัน แต่นายกลับดีใจ

คอยให้ข้าวมันกินอิ่มเพิ่มเติมขึ้นเรื่อยๆ

ยิ่งกว่านั้นเวลานายผู้หญิงเป็นคนให้

เวลานายผู้หญิงทำครัว มอมมันก็แอบเข้าไปอยู่ด้วย

บางทีมันก็เกะกะกีดขวาง นายผู้หญิงก็ตีเอาบ้างไล่ออกมาบ้าง

แต่แล้วมันก็กลับเข้าไปอีก เพราะมอมมันรู้ว่าถึงแม้นายผู้หญิงจะดุจะตีอย่างไร

ในที่สุดมันก็ต้องได้อะไรกินเสมอ มอมมันโตวันโตคืนจนกลายเป็นหนุ่มใหญ่

แม่หายไปจากโลกของมัน ซึ่งเดี๋ยวนี้เหลือแต่นาย

มอมไม่ได้รักนายเท่าชีวิต แต่นายเป็นชีวิตของมอม

เช้าขึ้นนายหายไปจากบ้าน มันก็รู้สึกว่าชีวิตมันว่างเปล่า

แต่มอมรู้ว่าตกบ่ายก็ต้องกลับ ฉะนั้นตามปกติ มันก็ไม่เดือดร้อนเท่าไรนัก

มอมใช้เวลาที่นายไม่อยู่หาอะไรกินบ้าง เล่นกับหนูบ้าง

บางทีหนูก็ดึงหูดึงหางมัน เล่นกับมันเจ็บๆแต่มอมมันก็ทนได้

เพราะกลิ่นของนายติดอยู่ที่ตัวของหนูเหมือนคนๆ เดี่ยวกัน

ชั่วแต่ว่าหนูตัวเล็กกว่า บางทีมอมมันก็ออกไปเที่ยวนอกบ้าน

เดินไปก็ดมกลิ่นอะไรไป กลิ่นคนแปลกๆ ที่ติดอยู่ตามทางเดิน

กลิ่นหนูที่ออกหากินตามถังขยะในเวลากลางคืน

กลิ่นหมาบ้านใกล้เรือนเคียง และหมากลางถนนทั้งตัวผู้ตัวเมีย

เมื่อมอมตัวยังเล็ก มันไม่ค่อยกล้าออกจากบ้าน

เพราะหมาอื่นๆ มันรุมกันเห่า มันรุมกันกัด

แต่เดี่ยวนี้มอมตัวโตกว่าหมาอื่น

พอออกนอกบ้านถึงหมาอื่นจะเห่า แต่ก็วิ่งหนีมอมทุกตัวไป

ในบรรดาหมาตัวผู้ในละแวกบ้าน มอมมันเคยแสดงฝีมือให้ปรากฏมาแล้ว

ไอ้ตัวไหนที่เคยเป็นที่ที่สังเกตได้ง่าย สูงเพียงระดับจมูก

ไม่ต้องก้มลงดมให้เสียเวลา เป็นต้นว่าเสาไฟฟ้าหรือต้นไม้ข้างทาง

ออกจากบ้านเดินไปก็ต้องยกขาถ่ายเอาไว้เป็นสำคัญ

แต่ถ้ามีหมาตัวอื่นมาถ่ายทับเสียกลิ่นนั้นก็เพี้ยนไป อาจถึงกลับบ้านไม่ถูก

หรืออย่างน้อยก็ต้องลำบากทุลักทุเล การถ่ายปัสสาวะรดที่ตัวอื่นทำไว้แล้ว

จึงเป็นอนันตริยกรรมของสุนัขอภัยให้กันไม่ได้

แล้วถ้าทำกันต่อหน้าก็เป็นการท้าทายกันโดยตรง

เป็นการทำลายเกียรติของหมาตัวผู้ด้วยกัน

แสดงว่าหมดความเกรงใจนับถือกัน ต้องต่อสู้จนแพ้กันไปข้างหนึ่ง

มอมมันเคยถูกท้าทายด้วยวิธีนี้มามาก แต่มันก็สู้จนเอาชนะได้ทุกตัว

บางทีมันกลับบ้านเป็นแผลยับไปตามหน้าและแข้งขา

นายผู้หญิงต้องคอยล้างแผลใส่ยาให้ หลังจากนั้นมันก็จะถูกขังไปสองสามวัน

แล้วมันก็แอบหนีไปเที่ยวนอกบ้านได้อีก

มอมมันเคยทิ้งนายไปแต่เพียงครั้งเดียวในชีวิต

เมื่อมอมแตกเนื้อหนุ่มเต็มที่ อากาศกำลังหนาว

น้ำขึ้นเจิ่งคลอง บางวันก็ท่วมพ้นตลิ่งขึ้นมา

มอมมันก็ไปหลงรักนางนวลซึ่งกำลังแตกเนื้อสาวอยู่ถัดบ้านไป ๓-๔ หลังคาเรือน

มอมหลงใหลจนสิ้นท่า ข้าวปลาไม่เป็นอันกิน

กลางคืนดึกๆ เดือนสว่าง มอมนั่งมองพระจันทร์แล้วก็หอนด้วยความวังเวงใจ

ในตอนแรกมันเพียงแต่หลบไปหานางนวลชั่วครู่ชั่วคราวแล้วก็กลับบ้าน

ครั้นต่อมาอาการรักหนักขึ้น มันก็ไม่กลับเอาเลย

เฝ้าเวียนวนอยู่แถวนั้น คอยไล่กัดตัวผู้อื่นๆ ทั้งหนุ่มทั้งแก่ที่มาตอมนางนวลเป็นฝูง

คนในบ้านเขาหนวกหู หนักเข้า เขาก็ทุบตีเอาบ้าง

เอาอิฐขว้างเอาบ้าง มอมก็ต้องทน เพราะความรักกำลังขึ้นหน้า

มอมหายจากบ้านไป ๔-๕ วัน หิวหนักเข้าก็ต้องโชกกลับบ้าน

แทนที่นายจะว่ากล่าว กลับรีบหาข้าวให้มันกิน

มอมมีอาการผิดประหลาดซูบผอมไปสัก ๑๕ วัน

แล้วมันก็กลับเป็นปกติเหมือนเก่า

น่าประหลาดที่ความรักที่มีต่อนางนวลก็หายไปด้วย

คงเหลือแต่ความรักนาย

พอตกบ่ายทุกๆ วัน มอมมันจะต้องไปหมอบคอยนายที่หัวกระไดบ้าน

ตามันจับอยู่ที่ประตูบ้าน และประสาททุกส่วนเตรียมพร้อมที่จะรับนาย

พอได้ยินเสียงเท้านายเดินกลับบ้าน มอมก็หูตั้งคอยฟัง

พอลูกบิดประตูหน้าบ้านเสียงดังเก๊ก

มันก็โผจากที่ด้วยกำลังทั้งตัวแล้วก็โถมเข้าหานาย

ดีใจเสียงเป็นที่สุดแล้วนายกลับบ้าน มันจะวิ่งเข้าพันแข้งพันขานาย

คาบข้อมือนายเลียตั้งแต่ หน้าลงมาจนถึงเท้า

ความดีใจของมอมกว่าจะสงบได้ก็เมื่อนายผลัดผ้าเข้าห้องน้ำอาบน้ำหายไป

ทีนี้มันก็มีหน้าที่ติดตามนายไปทุกฝีก้าว

ไม่ว่านายจะนั่งหรือนอนหรือจะไปทางไหนมอมเป็นต้องอยู่ข้างๆ

บางวันนายพามันออกไปเดินเที่ยวเล่นนอกบ้าน

ถ้าวันไหนได้ ออกไปเที่ยวกับนาย

วันนั้นก็เป็นวันที่มอมดีใจเอิกเกริกเป็นพิเศษ

ออกได้ก็วิ่งนำหน้าไป บางทีก็วิ่งเลยไป จนนายต้องเรียก

บางครั้งได้กลิ่นอะไรที่ข้างถนน สนใจเป็นพิเศษ

มันก็ไถลเที่ยวสูดดมกลิ่นนั้นเสีย จนนายต้องเรียกอีกเหมือนกัน

มอมเป็นหมาที่มีแต่หัวใจ และหัวใจของมันนั้นก็มอบให้นาย

ฉะนั้นมิไยนายจะสั่งสอนให้ทำอะไร มอมก็ไม่ค่อยเอาใจใส่

เพราะเมื่ออยู่กับนายมันมีแต่ความดีใจความสุข

ไม่มีปัญญาจะไปจดจำอะไรได้กี่มากน้อย

แต่ถึงกระนั้นมันก็ยังอุตส่าห์เรียนวิชาที่นายสอนให้ไว้ได้อย่างหนึ่ง

เวลาเดินไปริมคลองหรือริมบ่อ

นายจะหากิ่งไม้แห้งๆขว้างลงไปในน้ำ

มอมมันก็กระโดดน้ำว่ายไปคาบเอากิ่งไม้กลับมาให้นาย

ที่มอมมันเรียนได้เร็วก็เพราะว่ามันเห็นเป็นการเล่นชนิดหนึ่ง

บางทีนายไม่อยากเล่นเพราะมันสะบัดขน น้ำเปียกนาย

แต่มอมก็เที่ยวไปหากิ่งไม้แห้งๆคาบมาชวนนายเล่นทุกครั้งที่มีบ่อหรือคลองอยู่ใกล้ๆ

มอมมันอยู่กับนายเป็นปกติสุขมาได้สองปีกว่าจนมันเติบโตเป็นหนุ่มใหญ่เต็มที่

ใครเห็นใครก็ต้องชมว่ามันเป็นหมาที่งามไม่น้อย

และเมื่อนายบอกกับคนอื่นว่ามอมเป็นหมาเกิดใต้ถุนบ้านก็ไม่ค่อยมีใครเชื่อ

จนถึงวันหนึ่งซึ่งเป็นวันสำคัญที่สุดในชีวิตของมอม

วันนั้นเป็นวันหนึ่งในฤดูหนาวมอมมันคึกคักเป็นพิเศษจึงลอดรั้วออกไป

เที่ยวนอกบ้านตั้งแต่เช้าตรู่ ยิ่งเที่ยวไปมันก็ยิ่งเพลิน

ไกลบ้านออกไปทุกที ถ้ามอมมันเป็นคน มันก็จะสังเกตว่าเช้าวันนั้น

ผู้คนที่เดินถนนมีสีหน้าผิดปกติ บางคนก็หน้าตาเศร้าหมอง

บางคนก็หน้าตื่น ส่วนมากนั้นจับกลุ่มยืนพูดกัน

แต่มอมมันก็มีธุระของมันที่จะต้องวิ่งดมกลิ่นอะไรต่ออะไรเรื่อยไป

ไหนจะกลิ่นสัตว์ประหลาดๆ ที่ออกมาจากกอหญ้า

หรือเลื้อยคลานขึ้นมาจากคลองแล้วรีบกลับลงไปเมื่อใกล้รุ่ง

มอมมันวิ่งลุยน้ำค้างที่จับขาวอยู่บนใบหญ้า

อากาศเย็นเฉียบมากระทบหน้ากระทบใบหูและลิ้นของมัน

ทำให้เบิกบานใจกว่าธรรมดา

แต่พอสายเข้าหน่อยมอมก็เริ่มสังเกตเหมือนกันว่า

มีอะไรผิดปกติไปเสียแล้ว

เพราะบนถนนสายใหญ่นั้น มีรถยนต์บรรทุกขนาดโตกว่าที่มันเคยเห็น

วิ่งตามกันมาเป็นแถวยาวเหยียด แผ่นดินสะเทือนมาตั้งแต่ไกล

บนรถนั้นมีคนอยู่เต็ม แต่งตัวอย่างที่มอมมันไม่เคยเห็นมาก่อน

พูดจากันด้วยสุ้มเสียงที่มอมไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย

คนเหล่านั้นรูปร่างเตี้ยล่ำผิดกับคนไทยที่มอมรู้จัก

มอมมันยืนนิ่งตัวแข็งอยู่ข้างถนน ขนคอชัน หูตั้ง

ความรู้สึกเหมือนขโมยเข้าบ้าน

มันสูดกลิ่นแรงๆ คนที่อยู่บนรถนั้นผิดกลิ่นเป็นแน่แล้ว

เพราะมีกลิ่นสาบกลิ่นสางอย่างที่มอมไม่เคยรู้จักแต่ก่อนเลย

พอมอมมันรู้ว่าอะไรผิดปกติ ใจมันก็คิดถึงนายวาบขึ้นมาขึ้นมาทันที

ป่านนี้นายจะอยู่ที่ไหน จะเป็นอย่างไร

นายผู้หญิงจะเรียกเที่ยวตามหามันหรือเปล่า

ใครจะทำอะไรหนู ซึ่งนายเคยสั่งให้มันเฝ้าหรือไม่ก็ไม่รู้

และป่านนี้คนแปลกหน้าผิดกลิ่นจะเข้าไปในบ้านของมันบ้างแล้วกระมัง

พอหัวใจมอมมันหวนกลับไปบ้าน

ตัวมันก็หันกลับและขาทั้ง ๔ ของมันก็พาตัวมันกลับบ้านทันที

มอมกลับไปถึงบ้านไม่เห็นมีอะไรผิดปกติ

เห็นแต่นายกับนายหญิงนั่งพูดกับเบาๆด้วยสีหน้าไม่สู้ดี

มอมเข้าไปเลียมือนายแต่นายเพียงแต่ตบหัวมันเบาๆ ๒-๓ ที

แล้วก็ไม่สนใจมันอีกต่อไป นายผู้หญิงก็ไม่ได้ทักมันหรือไล่มันอย่างเคย

มอมกระดิกหางหมุนไปหมุนมา สักครู่หนึ่งเห็นไม่ได้เรื่องมันก็ไปเล่นกับหนู

ซึ่งดีใจมากที่มันไปอยู่ด้วย มอมลงนอนหงายให้หนูเกาท้อง

แล้วก็ดึงหูดึงหางมันไปตามเรื่อง

วันนั้นมอมสังเกตว่า นายไม่ได้ออกไปไหนทั้งวัน

ถ้าได้ยินเสียงรถแล่นหรือเสียงคนเดินดังเอะอะก็เดินไปดูที่ประตูบ้าน

มอมก็ถือโอกาสวิ่งตามไปเห่าลั่นที่ประตูบ้านเหมือนกัน

เพราะมอมมันต้องการให้นายเข้าใจว่า มันรู้เหมือนกันว่ามีอะไรผิดปกติ

และถ้าหากเกิดมีภัยอันตรายมาถึงบ้าน มันก็พร้อมที่จะสู้และยอมตายให้นาย

แต่นายกลับจุ๊ปากบอกให้มันนิ่ง แล้วเดินกลับเข้าบ้านทำดังนี้อยู่หลายครั้ง

จนค่ำนายกินข้าวแล้วก็ขึ้นบ้าน ปล่อยให้มอมนอนเฝ้าหัวกระไดอย่างเคย

รุ่งเช้าตอนสายๆ มีคนมาเปิดประตูหน้าบ้าน

มอมมันกำลังระแวง มันก็เห่ากรรโชกทำท่าจะเอาจริง

นายผู้หญิงต้องวิ่งมาดึงคอมันไว้

ส่วนนายผู้ชายไปพูดกับคนแปลกหน้าที่มาหน้าบ้าน

อีกประเดี๋ยวหนึ่งคนแปลกหน้าก็กลับไป

นายเดินกลับเข้ามาช้าๆ หน้าเผือด ไม่สบายใจ

ในมือถือกระดาษขาวๆ แผ่นหนึ่ง

มอมได้ยินนายเรียกนายผู้หญิงให้ตามขึ้นไปบนเรือน

เห็นพูดจากันสักครู่หนึ่ง

นายผู้หญิงเอากระดาษแผ่นนั้นมาดูแล้วก็ซบหน้าลงร้องไห้

ตั้งแต่นั้นมานายก็เริ่มหายไปจากบ้าน

หลายวันจึงกลับมาครั้งหนึ่ง มอมสังเกตเห็นนายแต่งตัว ผิดไปกว่าแต่ก่อน

คือนายแต่งตัวสีกากีแกมเขียว ใส่หมวกสีเดียวกัน

มีอะไรสีทองติดที่หน้าอก กางขายาวที่เคยนุ่งก็กลับเป็นพันแข็ง

และเกือกหนังบางที่เคยใส่ และที่มอมมันเคยเลีย

บางครั้งก็แอบเอาไปกัดเล่น เดี๋ยวนี้ก็ไม่ใส่

กลายเป็นใส่เกือกหนาๆ สากๆ

ครั้งแรกที่มอมเห็นนายแต่งตัวอย่างนี้กลับบ้านมันเกือบจำไม่ได้

แต่พอนายเดินเข้ามาใกล้ได้กลิ่นมันจึงรู้ระวังหายหน้าไปครั้งละหลายวัน

มอมเห็นนายผู้หญิงเศร้ากว่าทุกครั้งที่เคยเห็นมา

งานการทางบ้านที่เอาใจใส่ก็ดูเนือยๆ ลงไป

นายผู้หญิงชอบอุ้มหนูไปนั่งที่หัวกระไดและนั่งอยู่นานๆ

มอมมันเข้าไปหยอกล้อชวนเล่นด้วย นายผู้หญิงก็ไม่เล่น

บางทีมันก็เอาหัวเข้าไปวางที่ตักนายผู้หญิง

เธอก็ลูบหัวมันเบาๆ แต่สายตานั้นเหม่อมองไปไกล

ส่วนมากนายผู้หญิงนั่งอยู่จนพลบค่ำแล้วจึง

กลับเข้าเรือนตอนใกล้ๆ จะพลบ

เธอมักจะเอาหนูมากอดไว้แน่นแล้วก็ร้องไห้

มอมมันไม่เคยเห็นนายผู้หญิงเป็นอย่างนี้มาแต่ก่อน

ใจคอมันก็เงียบเหงาลงไปตาม ที่มันเคยเล่นหัวก็น้อยลงไป

ที่เคยแอบหนีไปเที่ยวเตร่ก็น้อยลงไปเช่นเดียวกัน

เมื่อนายหายไปนานๆ มอมมันก็ตามนายผู้หญิงแทนนาย

และมันมีความรู้สึกในใจว่าระหว่างที่นายไม่อยู่

มันจะต้องเฝ้าทั้งบ้านทั้งนายผู้หญิงและหนู

ไม่ให้ใครมาเกะกะทำอันตรายได้จนกว่านายจะกลับ

วันไหนนายกลับบ้านความรู้สึกในบ้านก็เปลี่ยนไปทั้งหมด

นายผู้หญิงก็กระปรี้กระเปร่าทำกับข้าวพิเศษ

มอมมันก็ดีใจโลดเต้น ชีวิตซึ่งแต่ก่อนเป็นปกติประจำวันนั้น

เดี๋ยวนี้กลายเป็นของที่มีเพียงชั่วคราวระหว่างที่นายกลับบ้าน

วันหนึ่งนายกลับบ้าน และมาอยู่ได้ ๒-๓ วัน

แต่มอมสังเกตนายและนายผู้หญิงไม่สู้จะดีใจรื่นเริงเหมือนที่เคย

เห็นแต่นั่งพูดกันเบาๆ ครั้งละนานๆ บางครั้งนายผู้หญิงก็ร้องไห้

ส่วนนายนั้นก็มีสีหน้าและกิริยาอาการบอกให้มอมเห็นได้ว่ามีทุกข์

นายมักจะนอนเหม่อที่เก้าอี้ยาวที่เฉลียงไม่พูดจาอะไร

นานๆ ก็ถอนใจยาวๆ มอมมันก็ได้แต่หมอบอยู่ที่เท้าของนาย

ตาก็จับอยู่ที่หน้านาย คอยดูว่าเมื่อไหร่นายจะมีแววตาที่แสดงว่าหายทุกข์

แต่ก็ไม่เป็นผลสำเร็จ

ตอนเย็นวันก่อนที่นายจะออกจากบ้านไป

มอมเห็นนายผู้หญิงเก็บของเล็กๆ น้อยๆ เข้าห่อ

เป็นพวกยาสีฟัน สบู่ และของกินแห้งๆ ใส่กระป๋อง

นอกจากนั้นก็มีเสี้อผ้าบ้าง นายผู้หญิงเก็บของไปก็ร้องไห้ไป

ส่วนนายก็ติดตามนายผู้หญิงอยู่ตลอดเวลา

ไม่ว่าจะเข้าห้องไหนหรือประการใด ช่วยห่อของให้บ้าง

พูดปลอบนายผู้หญิงบ้าง แต่มอมก็ไม่เห็นนายผู้หญิงหยุดร้องไห้

ยิ่งเห็นนายอยู่ใกล้ๆ ก็ยิ่งร้องไห้มากขึ้น

ครั้งหนึ่งนายผู้หญิงเอามือนายไปกำไว้แน่น

ยกมือนายขึ้นไปที่หน้าแล้วก็ยิ่งร้องไห้สะอึกสะอื้นหนักขึ้นไปอีก

มอมเห็นนายเอาแขนโอบนายผู้หญิงไว้กับตัวแล้วนั่งนิ่งอึ้งอยู่นาน

รุ่งขึ้นนายตื่นแต่เช้าตรู่ นายแต่งตัวเสร็จ

ก็ถือห่อของพะรุงพะรังออกจากบ้านไป

แต่พอถึงประตูหน้าบ้านนายก็ทรุดตัวลงนั่ง กอดมันไว้แน่น


มอม ไอ้มอม เสียงนายกระซิบสั่งที่หู

ข้าจะต้องจากไปนาน จะได้กลับเมื่อไรก็ยังไม่รู้

เอ็งอยู่ทางหลัง ช่วยเฝ้าบ้าน ช่วยดูนายผู้หญิง ช่วยดูหนู

เอ็งรักข้ามากข้ารู้ เอ็งต้องทำตามที่ข้าสั่งแล้วคอยข้าอยู่ที่นี่ ไม่ตายข้าจะกลับ

มอมเอาหน้ามันไปแนบที่หน้านาย ตามใบหน้าของนายนั้นอาบไปด้วยน้ำตา

เป็นครั้งแรกที่มันได้เคยเห็น มอมส่งนายเพียงประตูบ้านแล้วมันก็เดินกลับเรือน

หางตกหัวตก มันเดินช้าๆ ไปที่หัวกระไดที่มันเคยนอน

ล้มตัวลงเหยียดยาว ตาจับอยู่ที่ประตูหน้าบ้าน

นายผู้หญิงลุกขึ้นจากที่นั่ง

มอมสังเกตเห็นคนเริ่มจุดไฟและเริ่มใช้ไฟฉายในที่ต่างๆ อีกครั้งหนึ่ง

เสียงคนพูดกันและเสียงหัวเราะดังจากที่ต่างๆ รอบบ้าน

นายผู้หญิงลูบหัวมันเบาๆ เหมือนกับจะขอบใจที่มันเฝ้าอยู่เป็นเพื่อน

แล้วก็อุ้มหนูกลับขึ้นเรือน หลังจากนั้นไม่ว่ามอมจะไปทางใดเห็นแต่คนขุดหลุมกันทั่วไป

ใหญ่บ้าง เล็กบ้าง มอมมันเที่ยวดมตามกองดินที่เขาขุดขึ้นมา

ก็ไม่เห็นมีกลิ่นอะไรเกินไปกว่ากลิ่นธรรมดา

แม้แต่นายผู้หญิงก็ขุดหลุมที่ริมรั้วข้างบ้าน

ตาแก่ที่อยู่บ้านติดกันแกมาช่วยขุดให้

มอมนึกว่านายผู้หญิงคงขุดหาหนูหากระดูกเก่าๆ ที่ฝังไว้

มันก็เข้าไปขุดใช้สองเท้าตะกุยดินไปพลางจมูกมันก็กดลงไปที่ดินสูดกลิ่นแรงๆ

เพื่อจะได้รู้ว่าหนูหรือกระดูก

หรืออะไรก็ตามที่นายผู้หญิงต้องการนั้นฝังอยู่ที่ใด

มอมมันคุ้ยดินขึ้นมาได้กองโตเอาการ

นายผู้หญิงและคนแก่วางจอบเสียมนั่งดูมันแล้วหัวเราะ

เสียงตาแก่ชมกับนายผู้หญิงว่า

"หมาตัวนี้มันรู้เอาการอยู่" แต่มอมมันก็ยังไม่รู้อยู่นั่นเองว่านายผู้หญิงขุดหลุมอะไร

ต่อจากนั้นเมื่อมีเสียงเครื่องบิน มีเสียงหมาหอน

มอมก็เห็นนายผู้หญิงอุ้มหนูวิ่งลงไปอยู่ในหลุมนั้นทุกครั้ง

จนในที่สุดมอมมันก็รู้ ถ้าคืนไหนมันได้ยินเสียงเครื่องบินมาแต่ไกล

มันก็หอนขึ้นก่อนแล้วก็เริ่มตะกุยประตูเรือนดังๆ เพื่อปลุกนายผู้หญิง

พอรู้ว่านายผู้หญิงตื่นมันก็รีบวิ่งลงไปนั่งคอยอยู่ในหลุมก่อนทุกครั้งไป

ความตื่นเต้นในเวลากลางคืนนั้นมีบ่อยครั้งเข้า

และเสียงระเบิดนั้นก็ดังใกล้บ้านเข้ามาทุกที

ชาวบ้านแถบนั้นก็เริ่มหายไปจากบ้าน

มอมเห็นแต่บ้านปิดทิ้งไว้เป็นจำนวนมาก

ผู้คนในตรอกนั้นที่เคยคึกคักก็เงียบเหงาลงไป

คงเหลือแต่นายผู้หญิงอยู่ที่บ้านกันหนู

มอมมันไม่มีหนทางจะรู้ได้เลยว่านายผู้หญิงของมัน

อพยพหลบภัยตามชาวบ้านเขาไปไม่ได้ระวังผู้หญิงมีแต่ตัวคนเดียว

ไม่มีพวกพ้องวงศาคณาญาติที่ไหนที่จะไปอาศัยได้

และความจนนั้นก็บังคับให้นายผู้หญิงต้องอยู่ต่อไป

ทั้งทีแสนจะห่วงความปลอดภัยของลูก

และความรู้สึกเปลี่ยวเปล่าที่เกือบจะทนไม่ได้

คืนวันหนึ่งมอมรู้สึกร้อนรนและตื่นเต้น

เหมือนกับว่าสิ่งใดบอกมันว่าภัยกำลังใกล้เข้ามาและก็จริงดังนั้น

พอตกดึกก็มีเสียงหมาหอนดังขึ้นและเสียงเครื่องบินใกล้เข้ามาทุกที

นายผู้หญิงอุ้มหนูวิ่งลงไปอยู่ในหลุม มอมมันก็วิ่งลงไปนั่งข้างๆ เช่นเคย

เสียงเครื่องบินดังกว่าที่เคยได้ยินมา เสียงระเบิดดังใกล้ๆ บ้านเข้ามา

มอมเลียมือนายผู้หญิง รู้สึกว่ามือนั้นเย็นชืดด้วยความกลัว

มอมได้ยินเสียงลูกระเบิดแหวกอากาศตรงลงมาที่หลังคาบ้าน

มันหมอบนิ่งคอยความกระเทือนของระเบิดแต่แทนที่จะมีเสียงระเบิด

มอมกลับได้ยินเสียงดังกราวใหญ่ทางหลังบ้าน

อีกสักครู่หนึ่งมันก็ได้กลิ่นเหม็นไหม้อย่างแรง ไฟไหม้บ้านแน่แล้ว

มอมมันโจนขึ้นจากหลุมวิ่งไปดูที่ครัวเห็นไฟกำลังติดหลังคาเป็นหย่อมๆ

และกำลังลุกลาม มอมมันตกใจเต็มที่ได้แต่เห่า

แล้วมันก็วิ่งกลับมาเห่าที่หลุม เพื่อบอกนายผู้หญิงให้รู้ว่าไฟกำลังไหม้บ้าน

แต่นายผู้หญิงก็มิได้กระเตื้องขึ้นจากหลุม

มอมมันก็ได้แต่เห่าได้แต่วิ่งไปวิ่งมาด้วยความเป็นห่วง

บ้างก็เป็นห่วงตัวเอง เป็นห่วงนายผู้หญิงและหนูก็เป็นห่วง

มอมมันตัดสินใจไม่ถูกว่าจะทำอย่างไรดี

ในทันใดนั้นมันก็ได้ยินเสียงลูกระเบิดแหวกอากาศลงมาอีกซู่หนึ่ง

ทำให้หลังมันเย็นวาบ แต่ก่อนที่มันจะทำอะไรได้

มอมมันรู้สึกเหมือนมีของหนักๆ มากระทบอย่างแรง

ทำให้ตัวมันกระเด็นไปไกล หูอื้อไปหมด มอมหมดสติไปครู่หนึ่ง

เพราะแรงลูกระเบิดทำลายลูกหนึ่งที่ตกลงมาระเบิดกลางลานบ้านพอดี

พอมอมฟื้นขึ้นมา สิ่งแรกที่มันเห็นก็คือไฟไหม้บ้านทั้งหลังลุกโพลง

ส่องแสงสว่างจ้าทั่วไปหมด สิ่งแรกที่ใจมันนึกถึงก็คือนายผู้หญิงและหนู

ป่านนี้จะเป็นอย่างไรบ้าง มันตะเกียกตะกายจะลุกขึ้นยืน

แต่มันรู้สึกเสียวปลาบที่ขาหลัง มอมเหลียวไปเห็นขาหลังข้างซ้ายเป็นแผลยาว

อาจเป็นสะเก็ดระเบิดหรือเศษไม้กระเด็นถูก

เลือดข้นๆ ของมันกำลังไหลออกมาแดงฉาน

มันล้มตัวลงดินเพราะเดินยังไม่ไหว

มอมนอนเลียแผลอยู่นานจนขาที่เจ็บค่อยหายชา มีความรู้สึกขึ้น

มันก็ครึ่งเดินครึ่งคลานไปที่หลุมที่นายผู้หญิงอยู่

ที่หลุมนั้นเงียบสนิทไม่มีเสียงใดๆ

ลูกระเบิดที่ตกกลางลานบ้านทำให้ดินกระเด็นมากลบหลุมเสียกว่าครึ่ง

มอมเห็นเท้านายผู้หญิงโผล่ออกมาจากกองดินมันก้มลงเลีย

เท้านั้นเย็นชืดไม่มีชีวิต มอมมันรู้สึกร้อนผ่าวไปทั้งตัว

นายฝากนายผู้หญิงและหนูไว้กับมัน

บัดนี้นายผู้หญิงและหนูอยู่ใต้กองดิน

มอมตัดสินใจใช้ขาทั้งสองลงมือขุดทันทีทันที

มันขุดด้วยกำลังแรงที่สุดเท่าที่มันมี

หัวใจมันเต้นเหมือนกับจะระเบิดออกมานอกอก

มันจะต้องเอานายผู้หญิงและหนูออกมาจากหลุมให้ได้

แต่ดินที่กลบนั้นหนานัก สุดกำลังที่มอมจะคุ้ยผู้เดียว

หมดปัญญาเข้ามันก็เริ่มเห่าและหอนอยู่ที่ปากหลุม

เสียงหอนของมันทำชาวบ้านแถบนั้นวังเวงใจ

เพราะมันเป็นเสียงคร่ำครวญของหมาพันธุ์ทางตัวหนึ่งที่หัวใจแตกสลายลง

พอรุ่งสาง มอมได้ยินเสียงคนอึกทึกนอกบ้าน

มีรถบรรทุกคันใหญ่มาจอดหน้าประตูบ้าน

ตอนนั้นไฟไหม้บ้านจนมอดลงแล้ว

ไม่มีอะไรเหลือนอกจากเถ้าถ่านและควันจางๆ

คนกลุ่มหนึ่งถือพลั่วถือเสียมวิ่งเข้ามาในบ้าน

พอเห็นมอมยืนเห่าอยู่ที่หลุมก็ตรงเข้ามา

พอเห็นเท้านายผู้หญิงโผล่จากกองดิน

มอมก็ได้ยินเสียงคนเหล่านั้นร้องเรียกกันเอะอะ

อีกหลายคนวิ่งมาที่หลุม แล้วก็เริ่มโกยดินออกทันที

ในที่สุดมอมก็ได้เห็นนายผู้หญิงนอนเหยียดยาวดังหลับอยู่ใต้กองดินในหลุม

หนูนอนนิ่งอยู่ในอ้อมกอดของแม่ มอมมันโจนลงไปในหลุมคร่อมนายผู้หญิงไว้

ใครเข้ามาใกล้ก็ไม่ยอม มันเฝ้าแต่ขู่คำรามและแยกเขี้ยวขาว

ตามันมีแววเขียวปัดอยู่ข้างใน

คนทั้งโลกเป็นศัตรู คนเหล่านี้ที่ทำให้นายต้องจากไป

คนเหล่านี้ที่ทำให้บ้านที่มันเคยอยู่เคยกิน ต้องไฟไหม้จนหมดสิ้นไป

คนเหล่านี้กำลังจะมาแตะต้องตัวนายผู้หญิงและหนู จะทำอันตรายอย่างอื่นต่อไปอีก

ชายคนหนึ่งเข้ามาใกล้ตัวนายผู้หญิง มอมมันก็งับเข้าที่แขน

เสียงร้องให้คนช่วยลั่นไป แต่มอมตัวเดียวหรือจะต่อสู้ขัดขืนคนทั้งฝูงได้

ในที่สุดเขาก็กลุ้มรุมกันเข้าหามร่างอันไร้ชีวิตของนายผู้หญิงและหนูขึ้นรถบรรทุกแล่นไป

มอมมันวิ่งตามขาโขยกเขยกไปเพราะขามันเจ็บ

แต่แล้วมันก็ค่อยๆหมดแรงตะกายกลับบ้าน

บ้านที่ไม่มีเรือน บ้านที่รั้วพังจนหมดเหลือแต่ซากของประตู

บ้านที่ไม่มีนาย ไม่มีนายผู้หญิง ไม่มีหนู

บ้านที่ว่างเปล่าไม่มีอะไรเหลืออีกต่อไป

มอมมันเดินวนเวียนรอบลานบ้านตะวันสายขึ้นมามันรู้สึกทั้งร้อนทั้งหิวและอยากน้ำ

ขาของมันเริ่มเจ็บมากขึ้นมาอีก จมูกของมันแห้งผาก

ลิ้นของมันห้อยและแผ่บาน ตาของมันสาดแดงด้วยสายเลือด

มอมล้มตัวลงนอนใกล้ๆปากหลุมที่เขาขุดเอานายผู้หญิงไป

มันครางเบาๆ อีกครั้งหนึ่ง

แล้วก็ตั้งใจจะนอนอยู่ที่นั่นจนกว่านายจะกลับมาดุจะตีว่ามัน

ให้ทำตามที่นายสั่งมันก็ยอม

ข้อสำคัญขอให้นายกลับมาเท่านั้น


มอมมันนอนเช่นนั้นอยู่หลายวัน โดยที่ไม่มีใครรู้ไม่มีใครเอาใจใส่

เพราะมันเป็นแต่เพียงหมาตัวหนึ่ง

ในที่สุดความหิวกระหายก็บังคับให้มันต้องโซเซหากิน

มันเดินไปตามถนน เจอะอะไรที่พอประทังชีวิตได้ก็กินไม่เลือก

หมาซึ่งแต่ก่อนเคยกลัวมันก็รุมกันเห่ารุมกันกัด มอมมันก็ไม่สู้คอยหลบหลีก

เพราะมันไม่มีกำลังใจกำลังกายที่จะต่อสู้กับใครอีกต่อไปแล้ว

มอมมันเที่ยวตุหรัดตุเหร่ไปอย่างไม่มีความหมาย

ยิ่งเดินก็ยิ่งไกลบ้านเก่าออกไปทุกที ค่ำลงที่ไหนมันก็นอนที่นั่น

ใต้ห้องแถวบ้าง ริมกอหญ้าข้างถนนบ้าง

เมื่อกำลังมันอ่อนลงทุกวัน

มันก็ไปนอนหลบเงาอยู่ที่หน้าประตูบ้านใหญ่


ริมถนนแห่งหนึ่ง มอมมันหลับอยู่นานเพราะความอ่อนใจ

มาตกใจตื่นขึ้นอีกทีตอนได้ยินเสียงคนพูดใกล้ๆ

เสียงเด็กผู้หญิงร้องเรียก

"พ่อ พ่อจ๋า" ดังๆ หลายครั้ง มอมลืมตาขึ้นดูเห็นเด็กผู้หญิงอายุประมาณ 10 ขวบ

คุกเข่าอยู่ข้างตัวมัน มือลูบหัวมันอยู่ด้วยความปราณี

มอมมันรู้สึกว่ามือนั้นไม่ใช่มือศัตรูแต่เป็นมือของมิตร มันกระดิกหางรับ

อีกสักครู่ก็เห็นผู้ใหญ่รูปร่างอ้วนคนหนึ่งเดินมาเปิดประตูโผล่หน้าออกมาดูแล้วถามว่า

"อะไรลูก"

"พ่อดูหมาตัวนี้ซี สวยจังเลย มันเจ็บน่าสงสาร หนูจะเอามันไปเลี้ยง" เด็กหญิงร้องตอบ

"อย่าเลยลูก" ชายคนนั้นพูด

"หมาที่ไหนก็ไม่รู้ บางทีมันจะเป็นบ้า พ่อดูท่ามันชอบกลอยู่"

"ไม่บ้าหรอกพ่อ เมื่อตะกี้มันยังกระดิกหางกับหนูเลย"เด็กหญิงพูดพลางพยุงมันให้ลุกขึ้นยืน

"หนูจะตั้งชื่อมันว่าไอ้ดิ๊ก มานี่มะไอ้ดิ๊ก" มอมลุกขึ้นยืน

แล้วเดินโซเซตามเด็กหญิงเข้าไปในบ้าน

ขณะที่มันต้องเสียทุกอย่างไปแล้ว

หากมีใครที่แสดงว่าเป็นมิตรด้วยมันก็อยากจะคบด้วย

ชายที่อยู่ที่หน้าประตูไม่พูดว่าอะไร

เปิดประตูทิ้งไว้ให้ลูกสาว แล้วเดินข้ามสนามกลับขึ้นไปบนตึก

บ้านที่มอมมาอยู่ใหม่นั้นเป็นตึกใหญ่โต

ผิดกว่าบ้านเก่าของมอมมากมายนัก

หน้าตึกมีเก้าอี้มีกระถางต้นไม้ตั้งไว้อย่างสวยงาม

และไม้ต้นใหญ่ปลูกไว้ร่มเย็น ในบ้านนั้นมีคนอยู่หลายคน

ทุกคนทักทายเด็กเพื่อนของมันว่าคุณแต๋ว

ส่วนมากก็พยายามเอาอกเอาใจคุณแต๋วทั้งนั้น

พอคุณแต๋วบอกหญิงคนหนึ่งให้ไปเอาข้าวเอาน้ำมาให้มันกิน

มันเห็นหญิงคนนั้นวิ่งหายไปหลังบ้าน

อีกประเดี๋ยวเดียวมันก็ได้กินข้าวคลุกกับบะช่อชามโต

และมีน้ำสะอาดใส่ชามอ่างมาวางไว้ข้างๆ

คุณแต๋วสั่งให้ตาแก่ตนหนึ่งพามันไปอาบน้ำถูสบู่

หลังจากที่มันกินข้าวแล้ว พอตัวมอมแห้งดีแล้ว คุณแต๋วก็ใส่ยาให้ที่แผล

มอมมันอยู่กับคุณแต๋วมานาน มันรู้ว่าเดี๋ยวนี้มันชื่อไอ้ดิ๊ก

ถ้าคุณแต๋วเรียกมันด้วยชื่อนั้นมันก็เข้าไปหา

แต่มอมไม่มีวันลืมว่าชื่อจริงของมันที่นายตั้งให้คือ "ไอ้มอม"

มันอยู่กับคุณแต๋ว มีอาหารการกินและคนเอาใจใส่บริบูรณ์ทุกอย่าง

จนร่างกายมันกลับแข็งแรง ขนเป็นมันขลับ

ใครเห็นใครก็ชมว่าคุณแต๋วช่างไปหาหมาจากไหนมาเลี้ยง

แต่มอมมันไม่กระปรี้กระเปร่ารื่นเริงเหมือนแต่ก่อน

เพราะถึงมอมมันจะสบายก็สบายแต่กาย ใจของมันยังคอยนายอยู่ไม่มีวันลืม

ถึงแม้ว่ามอมมันจะรักคุณแต๋วมันก็รักเพราะมือที่ให้ข้าวมันกิน

คุณแต๋วไม่ใช่ชีวิตของมอม

บางทีมันออกไปนั่งหน้าบ้านสังเกตคนที่เดินผ่าน

เผื่อว่าในหมู่คนที่เดินมานั้นนายอาจเดินผ่านมาบ้าง

บางทีคนแปลกหน้าเข้ามาในบ้าน มันก็ต้องวิ่งไปดู

เผื่อจะเป็นนายมาตามหามัน

คืนวันหนึ่งในฤดูร้อนอีก ๒ ปีต่อมา มอมมันนอนรับลมเย็นอยู่หลังตึก

คืนนั้นคนในบ้านมีอยู่ไม่กี่คน

เพราะมอมมันเห็นถือกระเป๋าขึ้นรถไปกับคุณแต๋วหลายคนตั้งแต่เช้า

เสียงพูดกันว่าจะไปตากอากาศ ดึกมากแล้วแต่มอมมันยังไม่หลับ

มันนอนอยู่นิ่งๆ หูก็คอยฟังเสียงต่างๆ เช่นเคย

มันได้ยินเสียงเหมือนใครใช้เหล็กงัดหน้าต่างข้างตึกชั้นล่าง

มอมมันคำรามขึ้นครั้งหนึ่ง เสียงนั้นเงียบไป

อีกสักครู่เสียงนั้นดังขึ้นอีกมอมค่อยๆ

ลุกขึ้นเดินอ้อมไปทางที่มาของเสียง ขนคอของมันตั้งชันเป็นแปรง

ขโมยแน่แล้วไม่ใช่ใครอื่น

คืนนั้นมอมมันจะจับขโมยให้คุณแต๋วและให้คนทั้งบ้านใหญ่นี้เห็นฝีมือมัน

มอมมันเดินอย่างเงียบที่สุด สะกดใจไว้มิให้เห่าออกมา

พอมันเดินอ้อมมุมตึกแลเห็นคนๆ หนึ่ง

กำลังปีนม้าเล็กๆ งัดหน้าต่างอยู่จริงๆ

มอมมันย่องใกล้เข้าไปทุกที อีกประเดี๋ยวเป็นได้เห็นดีกัน

ทันใดนั้นลมพัดมาวูบหนึ่ง พาเอากลิ่นตัวคนๆ นั้นมาต้องจมูกมัน

ใจของมอมเพียงจะหยุดเต้นด้วยความดีใจ

มันโถมเข้าใสคนๆ นั้นด้วยกำลังทั้งหมดที่มันมีอยู่

ทำเอาคนๆ นั้นหงายหลัง ศีรษะฟาดกับพื้นนอนงงอยู่ครู่ใหญ่

มอมตัวสั่นเทากระดิกหางเร็วไม่เป็นจังหวะ

มันเลียชายผู้นั้นตั้งแต่หน้าไปทั้งตัว

เพราะกลิ่นที่ลมพัดมาเข้าจมูกหาใช่กลิ่นแปลกของใครที่ไหนไม่

แต่เป็นกลิ่นที่มันรู้จักดี

เป็นกลิ่นของนายที่มันตั้งใจคอยมาตลอดเวลาหลายปีนับตั้งแต่วันที่นายจากไป

นายงงอยู่พักใหญ่แต่แล้วก็จำได้

เขายกแขนขึ้นกอดคอมันไว้แน่น

"ไอ้มอม" เสียงนายกระซิบที่หูมัน

"มอม" นายเรียกมันอีกครั้งหนึ่งด้วยเสียงสะอื้นเหมือนกับมีอะไรมาจุกในคอ

มอมมันไม่ได้ยินใครเรียกชื่อมันมานาน

พอได้ยินนายเรียกมันก็ดีใจลิงโลดส่งเสียงร้องหงิงๆด้วยความดีใจ

นายลุกขึ้นยืนเหลียวซ้ายแลขวา จุ๊ปากค่อยๆ ให้มันนิ่ง

มอมมันก็ไม่นิ่ง เพราะความดีใจของมันเกินที่จะนิ่งได้

ความสุขความเป็นหนุ่มของมันกลับมาใหม่โดยสิ้นเชิง

นายวิ่งข้ามสนามเบาๆ พอถึงรั้วพู่ระหงก็มุดออกไปนอกบ้าน

มอมมันโกยสี่ตีนตามและมุดออกไปนอกบ้านกับนาย

นายทรุดตัวลงนั่งลูบหัวลูบคอมันแล้วกระซิบที่หูว่า

"มอม ข้าไม่นึกเลยว่าข้าจะได้พบเอ็ง

ข้านึกว่าข้าไม่มีอะไรเหลือแล้วในโลกนี้" นายหยุดพูดไปครู่หนึ่ง

"เขาส่งข้าไปไกล ข้าไม่ได้ข่าวคราวจากใครเลย

พอกลับมาบ้านเขาก็บอกว่าบ้านไฟไหม้หมด ลูกเมียถูกระเบิดตาย

งานการที่ข้าเคยทำคนอื่นเขาก็เอาตำแหน่งไปหมดแล้ว

ไม่มีใครเขาจะมาคอย ข้าหมดหนทางจริงๆ มอมเอ๋ย

แต่เอ็งอย่านึกว่าข้าลักขโมย ครั้งนี้เป็นครั้งแรก

พอดีพบเอ็ง เอ็งก็ทำให้ข้าต้องอาย ทำไม่ลง"

....."กลับเข้าบ้านเถิดมอม" นายพูดพลางลุกขึ้นยืน

"ข้าไม่มีปัญญาจะเลี้ยงเอ็งได้เสียแล้ว" นายชี้มือไปที่รั้วพลางไล่มัน

"ไป ไอ้มอม เข้าบ้าน" แทนคำตอบมอมมันกระดิกหางแรงกว่าเก่า

และวิ่งรอบๆ ตัวนาย นายไล่มันอยู่หลายครั้ง แต่มอมมันก็ไม่ฟัง

นายกลับมาแล้ว มอมจะไม่ให้นายพ้นสายตาอีกต่อไป

ความจริงนายเปลี่ยนไปมากเพราะผอมลง ผมเผ้ารุงรัง เสื้อผ้าขาดวิ่น

แต่อย่างไรก็ยังเป็นนายของมอม นายที่มันทิ้งไม่ได้


.....ดึกมากแล้ว พระจันทร์ข้างแรมเริ่มขึ้น ทอแสงสว่างไปทั่ว

นายเดินอย่างอ่อนระโหยไปนั่งที่ริมคูข้างถนน สายตามองไปไกล

มอมไปนั่งชิดกับนายอยู่ครู่หนึ่ง เห็นนายไม่ไหวติงมันก็นึกอะไรออก

มอมวิ่งไปคาบกิ่งไม้แห้งมาวางไว้บนตักนายด้วยความเคยชิน

นายเอากิ่งไม้ขว้างลงไปในคู

มอมมันก็กระโดดโครมตามลงไปคาบกิ่งไม้มาให้นายอย่างเคยทำ

นายซบหน้าลงบนหัวของมัน

เสียงนายกระซิบเรียกชื่อมันหลายครั้งไม่พูดว่าอะไรอีก

น้ำตาร้อนผ่าวร่วงลงบนหน้าและจมูกของมอม นายนั่งอยู่เช่นนั้นอีกนาน

ในที่สุดนายลุกขึ้นยืนช้าๆ คลำหูมันอย่างใจลอยแล้วพูดว่า

"ไอ้มอม เอ็งชนะข้า ไปด้วยกัน มา ตามข้ามา" แล้วนายก็ออกเดินมีมอมตามติดไป

คืนหน้าร้อนวันนั้น

ถ้าหากมีใครเดินมาตามถนนราชวิถี

ตอนดึกประมาณสักตีสองครึ่ง

จะได้เห็นชายคนหนึ่งรูปร่างสูงผอม เสื้อผ้าขาดวิ่น

เดินช้าๆ อยู่ข้างถนนอย่างอ่อนระโหยโรยแรง

ข้างๆตัวมีหมาตัวผู้รูปงามตัวหนึ่ง

ปากคาบกิ่งไม้ คอตั้งหางเชิด

วิ่งตามเขาไปด้วยความเบิกบานสุด

ที่มาhttp://eeddyblog.exteen.com/20071127/entry